วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วันอาสาฬหบูชา


อาสาฬหบูชาปีนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม 2553 ชาวนครและจังหวัดใกล้เคียง มักจะไปทำบุญไหว้พระและเวียนเทียนที่วัดใกล้เคียง ซึ่งทุกปีผมจะไปที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ซึ่งเมื่อก่อนเป็นวัดใกล้บ้าน ตอนนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใกล้วัดแล้วก็ตามครอบครัวก็ยังไปอยู่เสมอ อาจเป็นเพราะว่าเคยชินไปแล้วก็เป็นได้ วันนี้มีผู้คนมากหน้าหลายตา จาหหลายพื้นที่แต่ทุกคนก็มีจุดประสงค์เดียวกัน คือมาร่วมกันทำบุญ ถวายอาหารพระสงฆ์ และการแห่ผ้าขึ้นธาตุ ไม่บ่อยครั้งนักที่เจ้าหน้าที่จะเปิดโอกาสให้ผู้มีจิตศรัทธาได้นำผ้าขึ้นไปห่มองค์พระบรมธาตุ


ประวัติวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชั้นวรมหาวิหาร ตามตำนานกล่าวว่า พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาสู่หาดทรายแก้ว โดยนางเหมชาลา และพระธนกุมาร เมื่อประมาณปี พ.ศ.๘๓๔ จึงได้สร้างพระบรมธาตุ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ผู้ปกครองเมืองนครศรีธรรมราช จะก่อสร้างตกแต่งเพิ่มเติมอยู่เสมอ เพื่อสร้างสมความเลื่อมใสศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อองค์พระบรมธาตุเช่น สมัยศรีวิชัยได้สร้างเป็นเจดีย์ทรงศรีวิชัย ต่อมาในรัชสมัยพระเจ้าจันทรภาณุ เมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๗๙๐ ได้ทรงสร้างเป็นเจดีย์ทรงลังกาครอบองค์เจดีย์เดิมแบบศรีวิชัยไว้ภายใน
พระบรมธาตุเจดีย์ ประดิษฐานอยู่ภายในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นปูชนียสถานอันเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงสุดของชาวนครศรีธรรมราช และชาวใต้ทั้งปวง ไม่ปรากฎหลักฐานที่แน่นอนเกี่ยวกับประวัติการสร้างตามตำนานกล่าวว่า พระเจดีย์องค์เดิมสร้างตามความเชื่อของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๓๐๐ สมัยอาณาจักรตามพรลิงค์ ลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมแบบศรีวิชัย ต่อมาเมื่อได้มีการติดต่อสัมพันธ์กับพระภิกษุลังกา โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมราช ได้นิมนต์พระภิกษุลังกามาตั้งคณะสงฆ์ในเมืองนครศรีธรรมราชเป็นการสถาปนาพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ในระยะนั้นพระบรมธาตุองค์เดิมชำรุดทรุดโทรมมาก พระภิกษุลังกาจึงได้ช่วยกันบูรณะปฏิสังขรณ์ให้เป็นสถาปัตยกรรมแบบลังกา โดยสร้างพระสถูปแบบลังกาครอบองค์พระเจดีย์เดิม เป็นพระสถูปทรงโอคว่ำปากระฆังติดกับพื้นกำแพงแก้ว ที่มุมกำแพงแก้วมีพระบรมธาตุจำลองประดิษฐานอยู่ทั้งสี่มุม
(หาอ่าน วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร)

ฐานองค์พระเจดีย์เมื่อเดินเข้าไปจะเจอกับฆ้อง 2 วง วงแรกมีขนาดประมาณ 1 เมตร วงใหญ่ประมาณ1.5 เมตร ฆ้องทั้งสองมีสิ่งที่เหมือนกันก็คือจะมีคนมายืนใช้มือทั้งสองข้างลูบไปบนรอยนูนตรงกลางฆ้อง เพื่อให้เกิดเสียง จากการการสังเกตพบว่าเมื่อลูบไปบนโลหะที่ทำจากโลหะผสม ปลายนิ้วที่สัมผัสทำให้เกิดการสั่นสะเทือนเมื่อลูบหลายๆครั้งคลื่นสั่นสะเทือนก็จะมากขึ้นเรื่อยๆจะเกิดเป็นเสียงดังขึ้นเรื่อยๆจนถึงระดับหนึ่ง แต่ละคนให้เสียงที่ทุ้มแหลมไม่เท่ากัน เสียงที่เกิดขึ้นมีผลต่อจิตใจของแต่ละคนด้วยเช่นเดียวกันทำให้มีกำลังใจมากขึ้น ในขณะที่บางคนกลับลูบแล้วลูบอีกก็ไม่เกิดเสียง ฆ้องวงใหญ่ผ่านการลูบมาด้วยจำนวนที่นับไม่ถ้วนโดยสังเกตได้จากบริเวณดังกล่าวบางจนทะลุไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังเกิดเสียงได้ม่ยากเย็นนัก ใครที่ผ่านไปมานครศรีธรรมราช กราบไหว้พระบรมธาตุเจดีย์กันแล้วก็เดินเข้าไปทางประตูฐานเจดีย์ เลี้ยวตรงมุมฐานเจดีย์ก็จะเห็นฆ้องขนาดใหญ่ 2 วง แล้วจะพบว่าท่านมีพลังในตัวมากน้อยเพียงใด

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ขนมสายไหม



วันเกษตรแห่งชาติประจำปี2553 ณ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ระหว่าง 16-24 กรกฏาคม 2553 จัดงานอยู่หลายวันเหมือนกันนะ ครั้งแรกไปดูการแข่งขันดนตรีไทยของน้องเมย์(ลูกสาวคนเล็ก) ซึ่งเลิกเอามืดค่ำก็ต้องรีบกลับ มีโอกาสได้ไปอีกครั้งเอาวันสุดท้ายของงานเพราะต้องรอให้พี่จูน(ลูกสาวคนโต)กลับมาแล้วจะได้ไปเที่ยวพร้อมๆกัน ชื่องานก็บอกอยู่แล้วว่าเกษตร ดังนั้นก็ควรจะเกี่ยวกับต้นไม้เป็นหลัก ขายต้นไม้นานาชนิดทั้งนำไปปลูกประดับบ้าน และปลูกในสวนผลไม้ หน่วยงานราชการก็ให้ความสำคัญมากทีเดียว ...พูดมาซะยาวเลย..ในงานมีร้านเล็กๆที่น่าสนใจก็คือ ร้านขนมสายไหม หลายคน(ที่อายุมาก)อาจจะนึกไปถึงตอนที่ยังเป็นเด็กๆ เห็นร้านแบบนี้ทีไรก็วิ่งเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้มทันที ...ไม้นึง สีชมพู... ถูกสั่งออกไปโอยอัตโนมัติโดยที่ตัวยังไม่ถึงร้าน พ่อค้าก็นำเอาเกล็ดน้ำตาลสีชมพูเทลงไปในหม้อต้มเล็กๆกลางวง(คล้ายๆกะละมัง)ที่กำลังหมุนด้วยความเร็วสูง ทันทีก็มีปุยขาวๆคล้ายปุยเมฆกระจายออกมาสวยงาม พ่อค้าเอาไม้(ทำจากกระดาษมาม้วนเป็นก้านเล็กๆ)ไปเกี่ยวปุยน้ำตาลจนเป็นก้อนโต ส่งให้ลูกค้าตัวน้อยๆ สมัยนั้นก็ตกไม้ละไม่กี่สตางค์ เดี่ยวนี้ตกไม้ละ 10 บาท

เครื่องทำสายไหมนี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2447 ในงานมหกรรมซื้อขายของอเมริกาอ่านเพิ่มเติมจากวิกิพีเดีย ปัจจุบันมีให้เห็นตามงานมหกรรมต่างๆซึ่งอาจเป็นของพ่อค้านำมาเองหรือสั่งไปตามหน่วยบริการจัดตามงานเลี้ยง เขาก็จะส่งเครื่องมือพร้อมพนักงานมาบริการทันที ก็ประมาณ 4500-5000 บาท ลูกค้าเด็กๆและผู้ที่รำลึกความหลังจะชอบมาก จะอย่างไรก็ตามมันเป็นขนมน้ำตาลรับประทานเข้าไปก็แปรงฟันให้สะอาดด้วยเดี๋ยวฟันผุ (ปวดฟันทรมาณมากกกก)



วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เอา-เข้า-ไว้





เอา-เข้า-ไว้


เมื่อคืนได้มีโอกาสไปร่วมพิธีงานมงคลสมรส เจ้าสาวเป็นลูกครูส่วนเจ้าบ่าวเป็นลูกของนายช่างชลประทานดูเหมาะสมน่ารักทั้งคู่ จัดเลี้ยงที่โรงแรมทวินโลตัส บรรยากาศเป็นไปด้วยความเป็นกันเองสนุกสนาน คู่บ่าวสาวอยู่ในชุดสีครีมสะอาดตา แต่พิธีกรนี่ซิมาในชุดสีแดงแปร๊ดเด่นบนเวทีเลยทีเดียวเล่นเอาแขกเหรื่อในงานฮือฮาพอสมควร พูดผิดบ้างถูกบ้างก็โอเคนะ ไม่ว่ากัน เมื่อถึงคราวประธานในพิธี ก็คือผู้บริหารโรงเรียนศรีธรรมราชศึกษาซึ่งเป็นเจ้านายของแม่เจ้าสาว ท่านได้ยกข้อความมาให้เป็นข้อคิดและเป็นแนวในการครองคู่กับคู่บ่าวสาวด้วยคำว่า "เอา เข้า ไว้" เป็นที่ชอบอกชอบใจของแขก แต่เจ้าสาวทำหน้าแปลกๆอดสงสัยไม่ได้ว่าจะเป็นมุขอะไรหรือเปล่า ในที่สุดท่านก็เฉลยว่า คำว่าเอาเข้าไว้ จริงๆแล้วมาจาก
เอา---หมายถึง เอาใจใส่ ดูแลซึ่งกันและกัน รวมถึงครอบครัวเขาด้วย ด้วยการเอาใจเขามาใส่ใจเรา
เข้า---หมายถึง ให้มีความเข้าอกเข้าใจกัน ทั้งเรื่องส่วนตัว และงานในหน้าที่ที่ต้องทำว่ามีความแตกต่างกัน
ไว้---หมายถึง ความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน บางครั้งด้วยภาระหน้าที่อาจทำให้ต้องห่างกันไปบ้างแต่ก็ต้องมีความเชื่อมั่นต่อกัน



เฮ้อ..โล่งอกไป ก็นับว่าเป็นคำแนะนำที่ดี หากปฏิบัติได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตในครอบครัวใหม่เป็นอย่างมาก ขอให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวรักกันนานๆ ไชโย ไชโย ไชโย

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

รุ้งกินน้ำ







วันนั้น(05/07/2553 นครศรีธรรมราช)ขับรถอยู่บังเอิญหันไปเจอกับรุ้งกินน้ำ แต่วันนี้ไม่เหมือนกับทุกครั้งที่เห็น คือจะมีสองชั้น ตัดสินใจหาที่เหมาะๆถ่ายภาพซะหน่อย นานๆได้เจอสักครั้ง ขณะที่กำลังถ่ายภาพจะมีชาวบ้านออกมาดู และสงสัยว่าถ่ายภาพอะไร ซึ่งชาวบ้านเหล่านั้นก็ไม่ค่อยได้เจอบ่อยนัก ก็คิดกันไปต่างๆนานาว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นหรือเปล่า จะดีหรือจะร้าย จริงๆแล้วรุ้งกินน้ำมีโอกาสเกิดลักษณะนี้อยู่ประจำขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ตรงจุดใดที่จะสังเกตุเห็น สีก็จะไล่เรียงกันไป ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด(ส้ม) แดง มีอยู่แล้วในธรรมชาติของแสงสีขาว เมื่อแสงสีขาวส่องผ่านหยดน้ำเล็กๆในอากาศก็เกิดการหักเหออกมา ซึ่งแต่ละสีมีความยาวคลื่นแตกต่างกัน(วิทยาศาสตร์ไปรึเปล่า)ก็จะกระจายกันไป ไปพอดีกับเราที่อยู่ที่พื้นดินในมุมที่ไม่สูงมากนักทำให้เห็นเป็นแถบสี วันนี้เราได้เห็ 2 แถบ เรียกว่ารุ้งปฐมภูมิ กับรุ้งทุติยภูมิ



หาอ่านเพิ่มเติมนะครับ







อีกภาพก็เป็นลักษณะเดียวกับรุ้งกินน้ำ สังเกตรุ้งจางๆที่เกิดทางขวาของภาพ หากเป็นที่โล่งและอากาศดีๆก็จะเห็นอีกแถบปรากฎทางซ้ายของภาพ (วันนั้นมองไม่เห็น อากาศไม่ดีก็เลยถ่ายมาแค่นี้) หากรุ้งสว่างมากๆบางคนจะมองเห็นเป็นดวงอาทิตย์สองหรือสามดวงเลยทีเดียว(ภาพนี้ถ่ายไว้เมื่อ 15/17/2553 นครศรีธรรมราช)