วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วัยรุ่น: การฆ่าตัวตาย Suicide

วันนี้จะพูดถึงเรื่องเครียดๆกันสักนิด แต่ก่อนอื่นก็ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตเป็นสามีของเพื่อนร่วมงานและลูกศิษย์ที่จบไปแล้วกำลังเรียนอยู่ในระดับปริญญาตรี จึงอยากจะนำเอาบทความของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้เขียนเอาไว้เกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย ทั้งหมดนี้มิได้มีเจตนาจะซ้ำเติมผู้ใด เพียงแต่อยากจะให้เป็นกรณีศึกษา จู้จักสภาพหรือสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดเหตุการณ์ฆ่าตัวตายได้ จะได้เป็นแนวทางในการศึกษาทางป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก "ทุกปัญหามีทางแก้ เพียงแต่ยอมเปิดใจที่จะปรึกษากับใครสักคน เราไม่ได้อยู่เพียงลำพังคนเดียวในโลกนี้"

วัยรุ่น: การฆ่าตัวตาย Suicide
การฆ่าตัวตายสำเร็จ (completed suicide) หมายถึง การตั้งใจทำร้ายตนเองด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งเป็นผลให้ตัวเองตาย ส่วนการพยายามฆ่าตัวตาย (attempted suicide) หมายถึง การทำร้ายตนเองแต่ไม่ตาย เด็กที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ และเด็กที่พยายามฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ มีลักษณะบางอย่างคล้ายคลึงกัน แต่บางอย่างแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตามเด็ก 2 กลุ่มนี้มีความสัมพันธ์กัน มีการศึกษาพบว่า 1 ใน 3 ของเด็กที่ฆ่าตัวตายสำเร็จเคยพยายามฆ่าตัวตายมาก่อน หรือกล่าวได้ว่าเด็กที่พยายามฆ่าตัวตายเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตายสำเร็จ
จากการศึกษาพบว่า ความคิดที่จะฆ่าตัวตาย (suicide ideation) พบบ่อยในวัยรุ่น ส่วนการพยายามฆ่าตัวตาย แม้จะพบน้อยกว่าแต่ก็เป็นปัญหา การสำรวจนักเรียนอายุ 14-17 ปี โดย The Centers for Disease Control ในสหรัฐอเมริการพบว่าในระยะเวลา 1 ปีก่อนการสำรวจ ร้อยละ 8.3 พยายามที่จะทำ และร้อยละ 2 พยายามทำจนต้องเข้ารับการรักษา รายงานจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาในปี 1988 พบว่าอัตราของเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีที่พยายามฆ่าตัวตาย จากเด็กที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเท่ากับร้อยละ 0.2 การศึกษาอัตราการพยายามฆ่าตัวตายแบบ lifetime rate พบอัตราระหว่างร้อยละ 2-8 ในเด็กอายุ 12-18 ปี

ลักษณะของเด็กที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ
วัยรุ่นมีความเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่าเด็ก เด็กและวัยรุ่นชายฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่าเด็กและวัยรุ่นหญิง วิธีการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นชายมักทำโดยการยิงตัวตัวตายหรือการแขวนคอ ซึ่งรุนแรงกว่าการกินยาหรือกระโดดตึกซึ่งมักทำโดยวัยรุ่นหญิง เหตุกระตุ้นให้เด็กและวัยรุ่นฆ่าตัวตายสำเร็จ ได้แก่ การถูกจับว่าทำความผิดหรือโดนคาดโทษ การถูกดูถูกหรือเยาะเย้ยจากเพื่อน การทะเลาะหรือการถูกตัดสัมพันธ์จากคู่รัก ความไม่เข้าใจในครอบครัว ปัญหาที่โรงเรียน และการได้ยินหรือเห็นคนใกล้ชิดหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือตัวละครทางโทรทัศน์ฆ่าตัวตายสำเร็จ อย่างไรก็ตาม เด็กและวัยรุ่นส่วนหนึ่ง เป็นโรคซึมเศร้าและฆ่าตัวตายโดยไม่มีเหตุกระตุ้น
ปัจจัยเกี่ยวกับตัวเด็กและครอบครัวที่มีการศึกษา พบว่าเกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายสำเร็จ ได้แก่การขาดเรียน การที่เด็กมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคทางจิตเวช โดยเพาะโรคจิต การที่เด็กเองเป็นโรคซึมเศร้าหรือมีความประพฤติผิดปกติ มีอาการท้อแท้สิ้นหวัง มีการวางแผนล่วงหน้าที่จะฆ่าตัวตาย เช่น เก็บสะสมยา ทิ้งจดหมายลาตาย หรือยกสมบัติให้คนอื่น มีการศึกษาพบว่าครึ่งหนึ่งของเด็กที่ฆ่าตัวตายสำเร็จเคยบอกหรือขู่ว่าจะฆ่าตัวตายภายใน 1 วันก่อนการตาย นอกจากนั้น ร้อยละ 50 ของวัยรุ่นหญิงและร้อยละ 25 ของวัยรุ่นชายที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ เคยพยายามที่จะฆ่าตัวตายมาก่อน

ลักษณะของเด็กที่พยายามฆ่าตัวตาย
ความคิดและการพยายามฆ่าตัวตายพบน้อยในเด็กก่อนวัยรุ่น และพบมากขึ้นอย่างชัดเจนในวัยรุ่น อัตราของการพยายามฆ่าตัวตายในวัยรุ่นหญิงสูงกว่าวัยรุ่นชายประมาณ 3-7 เท่า ความเสี่ยงต่อการมีความคิดและการพยายามฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น ในเด็กวัยรุ่นที่มาจากครอบครัวที่เศรษฐานะไม่ดี วิธีที่เด็กและวัยรุ่นส่วนใหญ่นิยมใช้ในการพยายามฆ่าตัวตาย คือ การกินยาแก้ปวดหรือยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ร้อยละ 30-50 ของเด็กหรือวัยรุ่นที่พยายามฆ่าตัวตาย มีความตั้งใจจริงที่จะตายหรืออย่างน้อยก็ไม่ใส่ใจว่าจะอยู่หรือตาย อย่างไรก็ตาม เด็กหรือวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่พยายามฆ่าตัวตายมีความรู้สึกดีใจที่ไม่ตายและปฏิเสธความตั้งใจจริงที่จะตาย เหตุกระตุ้นให้วัยรุ่นพยายามฆ่าตัวตายที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ ความขัดแย้งกับผู้อื่น เช่น ครอบครัว หรือเพื่อน
เหตุกระตุ้นอื่นได้แก่ ปัญหาที่โรงเรียน การถูกอบรมสั่งสอนหรือลงโทษ การขาดเพื่อนหรือการถูกปฏิเสธไม่ยอมรับ หรือถูกทำให้เสียหน้า ปัญหาการติดยาเสพติดหรือเหล้า การ๔ุกกระทำทารุณทั้งการถูกทำร้ายร่างกายและถูกล่วงเกินทางเพศ การสูญเสียบุคคลที่รัก ปัญหาสุขภาพ เช่น เป็นโรคร้ายแรง การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ การที่สมาชิกในครอบครัว คนใกล้ชิดหรือได้ยินได้เห็นบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือตัวละครในโทรทัศน์ พยายามฆ่าตัวตาย อย่างไรก็ตาม 1 ใน 3 ของวัยรุ่นที่พยายามฆ่าตัวตายไม่มีเหตุผลกระตุ้น ซึ่งมักจะพบในวัยรุ่นที่เป็นโรคซึมเศร้า มีรายงานว่าเด็กวัยรุ่นที่พยายามฆ่าตัวตาย มีอัตราการเป็นโรคซึมเศร้าสูง 3-18 เท่าของเด็กปกติ การศึกษาพบว่า เด็กวัยรุ่นที่พยายามฆ่าตัวตายมีปัญหาความก้าวร้าว อารมณ์โกรธรุนแรงและพฤติกรรมต่อต้านสังคมเท่ากับหรือมากกว่าปัญหาซึมเศร้า โดยพบความสัมพันธ์ระหว่างความรุนแรงของอารมณ์โกรธกับความรุนแรงของการพยายามฆ่าตัวตายและมีโอกาสที่จะพยายามฆ่าตัวตายซ้ำอีกในอนาคต นอกจากนี้มีรายงานว่า ร้อยละ 13-42 ของเด็กวัยรุ่นที่พยายามฆ่าตัวตายติดยาเสพติดหรือเหล้า โดยร้อยละ 5-11 ใช้เหล้าหรือยาเสพติดในขณะพยายามฆ่าตัวตาย
โดยทั่วไป วัยรุ่นที่พยายามฆ่าตัวตายอาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มหนึ่งมีอาการซึมเศร้า ท้อแท้ สิ้นหวัง มีความตั้งใจที่จะฆ่าตัวตายสูง และวางแผนที่จะฆ่า อีกกลุ่มหนึ่งเป็นวัยรุ่นที่มีปัญหาการปรับตัวและปัญหาความประพฤติ ไม่มีอาการท้อแท้สิ้นหวัง แต่พยายามฆ่าตัวตายในลักษณะหุนหันพลันแล่นและขาดความยั้งคิด มีการศึกษาเกี่ยวกับวิธีคิดและการแก้ปัญหาของวัยรุ่นที่พยายามฆ่าตัวตายพบว่า การแก้ปัญหาไม่ได้และท้อแท้สิ้นหวังอาจเป็นอาการหนึ่งของของภาวะซึมเศร้า แต่ก็พบว่าเด็กที่พยายามฆ่าตัวตายส่วนใหญ่ไม่มีความยืดหยุ่นในการแก้ปัญหา มองปัญหาในแง่ร้าย หมกมุ่นคิดถึงแต่ปัญหา และคิดฝันจะให้ปัญหาหมดไปเอง โดยไม่พยายามหาวิธีหลายๆ ทางที่จะแก้ปัญหา
ปัจจัยทางครอบครัวของเด็กและวัยรุ่นที่พยายามฆ่าตัวตายได้แก่ ครอบครัวแตกแยก ขาดพ่อหรือแม่ ความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่ดี สมาชิกในครอบครัวป่วยเป็นโรคทางจิต เช่น โรคซึมเศร้า บุคลิกภาพผิดปกติ ครอบครัวขาดความสม่ำเสมอในการฝึกระเบียบเด็ก ในลักษณะที่บางครั้งปล่อย บางครั้งเข้มงวด ครอบครัวขาดการสื่อสารกันในด้านความคิดและความรู้สึก ครอบครัวทารุณเด็ก และครอบครัวมีความคาดหวังในตัวลูกหรือบังคับลูกมากเกินไป

สาเหตุของการฆ่าตัวตาย
การศึกษาหลายการศึกษาพยายามหาสาเหตุของการฆ่าตัวตายจากหลายแง่มุมประกอบด้วย
1. ประวัติครอบครัว การศึกษาเปรียบเทียบวัยรุ่นที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ กับกลุ่มควบคุมในนิวยอร์คพบว่า ครึ่งหนึ่งของวัยรุ่นที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ มีญาติใกล้ชิด ( fiest-degree relative) มีประวัติเคยพยายามฆ่าตัวตายหรือฆ่าตัวตายสำเร็จ การศึกษาเพิ่มเติมในฝาแฝดและบุตรบุญธรรมพบว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางพันธุกรรม
2. การเลียนแบบ ข่าวหรือเรื่องราวเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายอาจชักชวนให้เด็กหรือวัยรุ่นเลียนแบบพฤติกรรมฆ่าตัวตายในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ได้ยินหรือได้อ่าน การศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบการระบาดของการฆ่าตัวตายในลักษณะนี้ถึงร้อยละ 4 ของการฆ่าตัวตายในวัยรุ่นและคาดการณ์ว่าจะมีอุบัติการสูงขึ้น
3. ความผิดปกติทางชีวะภาพ การศึกษาเปรียบเทียบคนที่พยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายสำเร็จกับกลุ่มควบคุม พบว่าในกลุ่มคนที่พยายามฆ่าตัวตายและฆ่าตัวตายสำเร็จมีระดับ 5-HIAA( serotonin metabolites) ในน้ำไขสันหลังต่ำกว่ากลุ่มควบคุม นอกจากนั้น การศึกษาเพิ่มเติมพบว่า ในผู้ใหญ่ที่พยายามฆ่าตัวตายที่ระดับ 5-HIAA ในน้ำไขสันหลังมีค่าต่ำกว่า 90 มก./มล. มีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จ ใน 1 ปีถึงร้อยละ 21 เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราเพียงร้อยละ 2 ในคนพยายามฆ่าตัวตายที่มีระดับ 5-HIAA สูงกว่านี้
4. ปัญหาหรือความผิดปกติขณะคลอด การศึกษาจากประวัติผู้ป่วยในสหรัฐอเมริกาพบว่า คนที่ฆ่าตัวตายสำเร็จมีปัญหาหรือความผิดปกติขณะคลอดสูงเป็น 3 เท่าของกลุ่มควบคุม
5. ความผิดปกติทางจิตเวช การฆ่าตัวตายสำเร็จพบน้อยในคนที่ไม่มีพยาธิสภาพทางจิต การศึกษาติดตามผู้ป่วยจิตเวชพบมีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จสูง ในทำนองเดียวกัน การศึกษาเปรียบเทียบคนที่ฆ่าตัวตายสำเร็จกับกลุ่มควบคุม พบว่าคนที่ฆ่าตัวตายสำเร็จมีความชุกของโรคทางจิตสูงกว่า ซึ่งพบถึง 2 ใน 3 ในทั้ง 2 เพศ นอกจากนั้น ครึ่งหนึ่งของคนที่ฆ่าตัวตายสำเร็จเคยไปตรวจกับจิตแพทย์หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้อง โดยได้รับการวินิจฉัยเป็นความผิดปกติแบบวิตกกังวล ซึ่งพบเท่ากันในเพศหญิงและเพศชาย ความประพฤติผิดปกติและการติดสารเสพติด ซึ่งพบมากในชาย และโรคซึมเศร้าซึ่งพบมากในเพศหญิง
6. สภาพครอบครัว การศึกษาในนิวยอร์ค พบว่าอัตราของเด็กที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ อาศัยอยู่กับพ่อแม่น้อยกว่าเด็กในกลุ่มควบคุม( ครึ่งหนึ่ง เทียบกับ 2 ใน 3 ) และการสื่อสารในครอบครัวเป็นปัญหาสำคัญ

กล่าวโดยสรุปได้ว่า การฆ่าตัวตายเกิดขึ้นในบุคคลที่มีความเสี่ยง เช่น เป็นโรคซึมเศร้า มีปัญหาบุคลิกภาพ โดยบุคคลที่มีความเสี่ยง พยายามฆ่าตัวตาย หรือฆ่าตัวตายสำเร็จหลังจากที่มีเหตุการณ์เครียดก่อให้เกิดอารมณ์กลัว ไม่สบายใจ ท้อแท้สิ้นหวัง หรือโกรธ ซึ่งสภาพจิตเหล่านี้ทำให้การตัดสินใจเสียไป โดยเฉพาะถ้ามีการใช้สารเสพติด เช่น เหล้าหรือยาเสพติด หรือได้ดูภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ที่มีบุคคลฆ่าตัวตายให้เห็นร่วมด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การพยายามฆ่าตัวตายและการฆ่าตัวตายสำเร็จมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากถ้ามียา อาวุธหรือวิธีที่จะทำได้ง่ายๆใกล้ตัว

การช่วยเหลือ
การช่วยเหลือและการรักษาเด็กที่พยายามฆ่าตัวตาย เริ่มต้นด้วยการตรวจประเมินที่ดี เพื่อเข้าใจปัญหาและสาเหตุการพยายามฆ่าตัวตาย ประเมินความเสี่ยงที่จะทำซ้ำ และเลือกวิธีรักษาที่ถูกต้อง การตรวจประเมินควรทำอย่างรวดเร็วที่สุด ภายหลังจากที่อาการทางร่างกายของเด็กไม่เป็นปัญหาต่อการสัมภาษณ์ ควรสัมภาษณ์เด็กและวัยรุ่น พ่อแม่ เพื่อน หรือผู้รู้เหตุการณ์ทั้งแบบเดี่ยวและแบบรวมพร้อมกัน ข้อมูลที่จำเป็นต้องถามประกอบด้วย รายละเอียดของการพยายามฆ่าตัวตาย วิธีที่ใช้ ความตั้งใจที่จะตาย เหตุกระตุ้น ปัญหาอารมณ์และพฤติกรรม ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความช่วยเหลือที่ได้รับจากคนรอบข้างและการเปลี่ยนแปลงของปัญหาหลัวจากการพยายามฆ่าตัวตาย การตรวจสภาพจิตควรทำโดยละเอียดและถามถึงความคิดและความตั้งใจที่จะฆ่าตัวตายในขณะตรวจ ความเสี่ยงที่จะทำซ้ำมีมากในรายที่เด็กใช้วิธีรุนแรงในการพยายามฆ่าตัวตายยังไม่ไหมดไป และขาดการช่วยเหลือประคับประคองจากคนรอบข้าง
การช่วยเหลือรักษาเด็กที่พยายามฆ่าตัวตายมีหลายวิธี ประการแรก หลังจากตรวจประเมินเด็กแล้ว จะต้องตัดสินใจว่าจำเป็นต้องให้เด็กเข้ารับการรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาลหรือสามารถนัดมาตรวจรักษาแบบผู้ป่วยนอก ควรรับไว้ในโรงพยาบาลเมื่อมีการใช้วิธีรุนแรงในการพยายามฆ่าตัวตาย มีประวัติคิดฆ่าตัวตาย หรือพยายามฆ่าตัวตายซ้ำๆ มีอาการซึมเศร้า อาการของโรคจิต หรือติดเหล้าและยาเสพติด ขาดผู้ใหญ่หรือคนใกล้ชิดดูแลระมัดระวังเกี่ยวกับความปลอดภัยในการจะฆ่าตัวตายซ้ำ เช่น การเก็บยา ของมีคมและอาวุธ อย่างไรก็ตาม แม้แต่ในกรณีที่ไม่ได้รับเด็กเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ผู้รักษาควรให้เด็กรับปากและสัญญาว่าจะไม่ทำแบบเดียวกันอีก ก่อนวันนัดพบที่ผู้ป่วยนอก ให้ดูแลระมัดระวังเกี่ยวกับความปลอดภัยของเด็กเท่าที่ทำได้ รวมทั้งแนะนำว่าถ้ามีปัญหารีบด่วนให้รีบมาโรงพยาบาลทันที
การช่วยเหลือรักษาเด็กที่พยามฆ่าตัวตายมีหลายวิธี ซึ่งควรเลือกใช้ตามลักษณะเด็กแต่ละราย การใช้หลักของการแก้ไขปัญหาในระยะวิกฤตเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากปัญหามักเกิดขึ้นฉับพลันและเด็กหลายรายไม่มาตรวจรักษาตามนัดในระยะเวลา การช่วยเหลือทางจิตใจและการพยายามติดตามการรักษา เช่น การติดต่อทางโทรศัพท์ การนัดมาพบแพทย์เป็นระยะๆ มีผลในการลดปัญหาและการพยายามฆ่าตัวตายซ้ำ การรักษาแบบใช้เทคนิคการเปลี่ยนวิธีคิดและสอนการแก้ปัญหาทั้งแบบตัวต่อตัวและทั้งครอบครัว โดยเน้นข้อดีที่มีอยู่และการทำสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ดี ได้ผลดีในการลดความขัดแย้ง การโทษกันและความคิดในทางลบ ครอบครัวบำบัด มีความสำคัญในรายที่เหตุกระตุ้นเกิดความขัดแย้งในครอบครัว การช่วยให้ครอบครัวมีการสื่อสารที่ดี รับรู้ความคิด อารมณ์และปัญหาของสมาชิกในครอบครัว รวมทั้งหาแนวทางการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง จะช่วยลดความเสี่ยงที่สมาชิกในครอบครัวจะคิดหรือพยายามฆ่าตัวตายซ้ำ นอกจากนั้น การช่วยเหลือรักษาโดยวิธีอื่น เช่น กลุ่มบำบัด และการใช้ยามีการใช้น้อย เนื่องจากปัญหาการเลียนแบบจากเด็กอื่นในกลุ่ม และการใช้ยาเป็นเครื่องมือในการฆ่าตัวตายตามลำดับ

กรณีศึกษา
เด็กผู้หญิงอายุ 14 ปี แม่และน้าสาวพาส่งโรงพยาบาล ด้วยอาการหมดสติหลังจากกินยาแก้เมารถไปจำนวน 60 เม็ด กุมารแพทย์ได้ให้ความช่วยเหลือทางร่างกาย เมื่อสัมภาษณ์เด็ก ได้ประวัติว่า 2 วันก่อนกินยา เด็กถูกน้าชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่ข่มขืนขณะที่เด็กทำความสะอาดในบ้านน้าสาว เด็กคิดมาก ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป จึงไปซื้อยามากิน เพื่อจะได้หลับและไม่ต้องรับรู้อะไร โดยไม่สนใจว่าตัวเองจะตายหรือไม่ การตรวจสภาพจิตพบว่า เด็กรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น คิดว่าคงแก้ไขอะไรไม่ได้ และไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้แม่หรือใครฟัง เมื่อทราบว่าแพทย์ช่วยให้รอดชีวิตก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ดีใจหรือเสียใจ แต่ก็ไม่มีความคิดที่จะทำซ้ำแบบเดิมอีก ขณะตรวจ เด็กรู้สึกสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่อยากรับรู้หรือนึกถึง เล่าเรื่องได้ไม่ต่อเนื่องกัน และยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะเล่าให้แม่หรือน้าสาวฟังหรือไม่ แต่มีแนวโน้มที่จะไม่เล่า เพราะคิดว่าเล่าแล้วคงไม่มีประโยชน์ เพราะไม่มีใครช่วยเหลือหรือแก้ไขได้
การสัมภาษณ์แม่พบว่ามีความรู้สึกงง แปลกใจ ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น แต่รู้ว่าลูกสาวกินยาเพื่อฆ่าตัวตาย เมื่อพบจดหมายที่เด็กเขียนทิ้งไว้ให้แม่เพียงแต่ว่า ขอหลับไป 2-3 วันหรือตลอดไป และเมื่อรู้เรื่องก็ตกใจและเสียใจจนเป็นลม ผู้รักษาได้นำเด็กและแม่มาพบพร้อมกับชี้ให้เห็นถึงความห่วงใยของแม่ และแพทย์ช่วยเหลือในการสื่อสารจนเด็กเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟัง ผู้รักษาให้โอกาสแม่และเด็กแสดงความโกรธและความเสียใจ พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือประคับประคองทางจิตใจร่วมกับแนะนำแม่และเด็กในการระมัดระวังตัวในอนาคตหลังออกจากโรงพยาบาล แม่และเด็กมาตรวจติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เด็กได้รับจิตบำบัดอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขผลกระทบจากการถูกล่วงเกินทางเพศ ส่งเสริม การปรับตัวและป้องกันปัญหาการพยายามฆ่าตัวตายและปัญหาอื่นในอนาคต

กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Writing journal การเขียนบันทึก

ความหมาย
Journal เป็นการเขียนอย่างต่อเนื่องของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเกี่ยวกับสิ่งที่เขารู้สึกในสิ่งที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตของตัวเขาเอง มันอาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยกับคำว่า Diary ตรงที่มันไม่เพียงแต่อธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเท่านั้นแต่มันยังรวมไป ถึงปฏิกิริยาโต้ตอบต่อเหตุการณ์ และความรู้สึกที่มีต่อเหตุการณ์นั้น ๆ ที่ไม่จำเป็นต้อง เกิดกับตัวคุณด้วยด้วย ( แต่มันก็ไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะเรียก สิ่งที่คุณ เขียนว่าอะไร ขอให้คุณได้ลงมือเขียนเท่านั้น )


เขียนไปทำไม
๑. เป็นการเริ่มต้นฝึกเขียนที่ดี และง่ายที่สุดสำหรับคนเริ่มเขียน เพราะมันไม่มีกฎเกณฑ์อะไรสั่งให้คุณเขียนอย่างโน้นอย่างนี้ คุณไม่ต้องใช้ความพยายามหรือแรงบันดาลใจอะไรมากมายในการเขียนบันทึก มันไม่สำคัญว่าคุณจะสะกดเป็นไหม ลายมืออ่านยากไหม หรือไม่ต้องคิดถึงวิธีสร้างสรรค์ใด ๆ ในการจะเขียนถึงสิ่งที่คุณรู้สึก มันไม่ต้องใช้เครื่องมือ หรือ เรียกร้องเทคนิคอะไรเป็นพิเศษ คุณเขียนไปตามที่เป็นจริง เขียนไปตามความคิด และมุมมองของคุณเท่านั้น และที่สำคัญมันเป็นการเขียนเรื่อง โดยส่วนตัว ของคุณแท้ ๆ คุณจึงไม่ต้องกังวลว่า ท่านผู้ชม จะชอบหรือไม่ชอบ ( ถ้าคุณไม่นำออกสู่สาธารณะ และต้องการคำวิจารณ์ )
๒. เป็นการปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกที่กดดันอยู่ภายใน ระบายออกมาเป็นตัวหนังสือ ทำหายภาวะเครียดลดลง
๓. เป็นการบันทึกเรื่องราวกระบวนการเติบโตทางความคิดของตัวผู้เขียน ในแต่ละช่วงชีวิตที่ผ่านไป ซึ่งเป็นเหมือนการเดินทางของจิตใจ เป็นเหมือนการเปิดรับฟังเสียงที่อยู่ภายในของตัวเอง ซึ่งในตอนเขียนหากคุณได้ยินเสียงที่เกิดจากภายในของตัวตนของคุณเองจริง ๆ คุณก็จะ เข้าใจในตัวเองมากขึ้น ทำอะไรได้สุขุมรอบคอบยิ่งขึ้น


ควรจะเริ่มเขียนเมื่อไหร่
-คุณควรเริ่มเขียนวันนี้เลย และถ้าหากคุณต้องการฝึกการเขียนไปด้วยก็ควรจะเขียนทุกวันเพื่อดูความก้าวหน้าของตัวเอง-เขียนตามแต่โอกาสพิเศษเช่นไปเที่ยว ไปต่างจังหวัด ไปต่างประเทศ ฯลฯ -เขียนให้ได้หนึ่งหรือสองหน้าทุกวัน -เขียนเมื่ออยากเขียน -เขียนเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญ ๆ เกิดขึ้น-ฯลฯ

จะเริ่มเขียนอย่างไร
เตรียมอุปกรณ์ เรื่องนี้อาจจะดูไม่ยาก มีเพียงปากกาสมุด ก็คงจะพอ แต่ก็นั่นแหละ หากมีอะไรที่มันจะทำให้คุณรู้สึกดี หรือมีความสุขกับการเขียน ก็จงหามันมา อาจจะเป็นสมุดที่สวยมีภาพลางเลือนให้เขียนทับลงไป จะซื้อสมุดที่พิมพ์มาขายเพื่อการบันทึกเฉพาะก็ได้ หรือแม้แต่สีปากกาที่จะเขียน จะให้มันมีกี่สีก็ทำไป จะติดรูปถ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปด้วยก็ได้ ถ้าวาดเองไม่เป็น
ถ้าคุณเลือกที่จะเขียนลงคอมพิวเตอร์ส่วนตัว และคิดว่าตนเองไม่มีเวลาที่จะสร้างสรรค์หน้า ใหม่ๆขึ้นมาทุกวัน ให้ทำรูปแบบ ( template ) บันทึกเอาไว้จะรวดเร็วกว่า
ถ้าจะเขียน Diary online หรือ Weblog ต้องเคลียร์ให้ชัดว่า คุณเขียนเพื่ออะไร คุณต้องการให้กลุ่มไหนอ่าน เรื่องที่คุณเลือกที่จะเขียนน่าสนใจเพียงพอหรือยัง เลือกเวป ที่มีลูกเล่นให้คุณตกแต่งเองได้ด้วย และอย่าลืมสำรองข้อมูลของตัวเองเอาไว้ด้วยละ
เวลาเขียน ควรจะเขียนทุกวันติดต่อกัน ใช้เวลาตามสะดวกเหมาะสมกับตัวคุณเอง แต่อยากให้เน้นเรื่องความ สม่ำเสมอ
เลือกหัวข้อที่คุณอยากเขียน
ต้องเข้าในว่าในการเขียนบันทึกไม่จำเป็นว่าบันทึกที่คุณจะเขียน จะมีแต่กิจวัตรประจำวันของคุณหรือ เรื่องราวเปิดเผยอารมณ์ของตัวเองตลอดเวลา ( ประเดี๋ยวไม่มีอารมณ์ เลยพาลไม่มีอะไรเขียน ) คุณสามารถที่จะเลือกหัวข้อไหนเขียนก็ได้ ขอให้เป็นเรื่องที่คุณสนใจ เช่น

-เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ที่คุณรู้จักคุณรักคุณชอบ
-เขียนถึงงานอดิเรก
-เขียนถึงคนที่คุณรัก เช่นลูกหรือแฟน
-เรียงเรื่องหัวข้อเขียนแบบ ก ถึง ฮ -เรื่องการเมืองที่เกิดขึ้น
-ภัยธรรมชาติ
-ฯลฯ


บันทึกนักเขียน
เป็นสิ่งที่นักเขียนใหม่ควรทำที่สุด บันทึกนักเขียนเป็นวิธีการที่คุณแสดงความรู้สึก หรือความเห็นต่อวิธีการเขียนของตนเองในแต่ละวัน มันจะทำให้คุณเข้าใจและพัฒนาการเขียนของตนเองได้ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ

ลงมือเขียน
คุณเชื่อไหม คนบางคน ที่ไม่คุ้นเคยกับการเขียนมาก่อน แม้แต่การเขียนบันทึกของตัวเอง ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเขียนลงไปยังไง แถมเวลาเขียนยังรู้สึกเขินอายอีกแนะ ( ถ้าหากคุณไม่เป็นอย่างนี้ก็ถือว่าโชคดีไป) ดังนั้นจึงอย่าคิดว่าการเขียนบันทึกจะเป็นเรื่องง่าย ๆ นะ ถ้าคุณไม่เคยลงมือเขียนมาก่อน สิ่งที่อยากแนะนำก็คือ เลือกรูปแบบการเขียน
ตัดสินใจว่าคุณเลือกรูปแบบการเขียนของคุณให้เป็นแบบไหน ( ไม่จำเป็นจะต้องเป็นรูปแบบเดิมทุกวัน )
ในรูปของจดหมาย เหมือนคุณเขียนถึงใครสักคนหนึ่ง หรือเขียนถึงสมุดก็ได้ ( คงเคยอ่านเจออย่างนี้นะ สมุดจ๋า .... ถึงพระเจ้า ..... )
บันทึกเล่าเรื่องธรรมดา ลำดับตั้งแต่เกิดอะไรขึ้น ผลออกมาเป็นอย่างไร คุณรู้สึกอย่างไร คุณอยากให้เป็นอย่างไร ( วันนี้ตื่นแต่เช้า ....)
เป็นการสนทนาโต้ตอบ บันทึกของวันนี้คุณอาจจะ เขียนกลางหน้ากระดาษถึงหัวข้อว่าฉันเบื่อการทำงานที่นี่แล้ว
จากนั้นก็ลงไปที่บทสนทนาเลย จะเลือกใครคุยกับใครก็ได้เช่น
แบบฝ่ายมารกับฝ่ายดี ( เคยเห็นในหนังไหมที่เทวดากับซาตานโผล่เข้ามาความคิดคนต่างฝ่ายต่างพูดน่ะ ) หรือแบบทนายซักจำเลย แบบไปปรึกษาหมอ แบบ A และ B คุยกัน
A: ฉันก็เห็นนายบ่นทุกวัน ทำไมไม่ลาออกเสียเลย
B: ยังหางานใหม่ไม่ได้โว้ย
A: ก็แล้วจะตะโกนหาพระแสงอะไร คนอื่นรำคาญนะ
B: ………….
การเขียนแบบนี้ไม่ต้องคิดมากถึงกับต้องวางพล็อตหรอกนะ เขียนไปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และเป็นความจริงอย่างใจคุณคิดก็พอ
แบบจัดระเบียบความคิด ( Mind map ) วาดวงกลมกลางหน้ากระดาษ เขียนหัวเรื่องลงไป จากนั้นก็ลากเส้นใยแมงมุมออกไปจากวงกลมสัก ๘ เส้น ( มากน้อยแล้วแต่เรื่อง) แต่ละเส้นจะเขียนแต่ละคำที่สื่อถึงความรู้สึก แต่ละคำก็เขียนประโยคในใจลงไป เขียนซะให้สะใจ
แบบไหนก็ได้ตามสไตล์คุณ เพราะจริง ๆ แล้ว ไม่มีรูปแบบไหนดีเท่ากับแบบที่คุณสร้างของคุณขึ้นมาเอง ที่แนะนำมาเป็นเพียงไอเดียสำหรับผู้เริ่มต้นเท่านั้น


สิ่งที่ควรมีในบันทึกของคุณ
( ไอเดียสำหรับคนนึกไม่ออกว่าจะเขียนอะไรลงไป)
วันเวลา เขียนวันเดือนปีให้ละเอียด อย่าลืมวันในแต่ละสัปดาห์ด้วย
( วันอังคารที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๖ เวลา ๑๒.๐๐ เที่ยงคืน)
สภาพดินฟ้าอากาศ อุณหภูมิ ( ถ้าคุณมีเทอร์โมมิเตอร์ ) ฝนตก ร้อน หนาว
อารมณ์ วันนี้มีอะไรอยู่ในหัวคุณบ้าง มีอะไรเกิดขึ้นมาจนทำให้คุณรู้สึกในอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งไหม เช่นทะเลาะกับแฟน โกรธมากที่เขาว่าคุณ เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น คุณรู้สึกอย่างไร คุณอยากจะทำยังไงต่อสถานการณ์นี้ เขียนอย่างที่ต้องการจริง ๆ ต่อให้มันเป็นเรื่องร้าย ๆ ก็เถอะ อย่าไปเว้นวรรค หรือเซนเซอร์ตัวเอง เพราะคนเรามีเงามืดอยู่ในตัวทั้งนั้น เน้นว่า เป็นเรื่องการเขียนที่ซื่อตรงต่อจิตใจตัวเองเท่านั้น
เหตุการณ์ทั่วไป เขียนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ของคุณ เช่นไปซื้อของ ดูทีวี อ่านหนังสือ เขียนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง หรือเหตุการณ์ที่มองเห็น ฯลฯ
การเขียนบันทึกต้องเขียนในเรื่องที่เป็นจริง เพราะถ้าคุณจะโกหกก็ไม่รู้จะเขียนไปทำไม แล้วคิดดูสิ ถ้าคุณเขียนทุกวัน ผ่านไปหลายปีคุณก็จะมีหนังสือเป็นของคุณเองเป็นเล่ม ๆ และเรื่องบางเรื่องที่คุณเขียนเอาไว้คุณยังจะนำมาใช้อ้างอิงให้เป็นประโยชน์ได้ในตอนหลังด้วย
ฝึกเขียนแบบ free writing หลังจากเขียนบันทึกเสร็จแต่ละวัน ลองเขียนอะไรที่เป็นไปตามจินตนาการของคุณเองบ้าง เอาให้สุด ๆ ไปเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความหวัง ความฝัน แต่จะให้ดีควรจะแยกออกจากบันทึกประจำวันของคุณเป็นอีกเล่ม
จำไว้ว่า นักเขียนที่ดีจะบันทึกหลักฐานทุกอย่างไว้ ไม่ว่าจะลงในกระดาษหรือช่องว่างในหัวสมอง แต่ถ้าจะให้เป็นระเบียบก็จงเขียนหลักฐานทุกอย่างลงกระดาษ หรือในแผ่นดิสก์

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

110 ปี ศรีราช

เดิน-วิ่ง รักสามัคคี 110 ปี AMC Family Fun Run

โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2444 โดยมิชชันนารีอเมริกันเพรศไบทีเรียนเพื่อเผยแพร่พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ เมื่อเริ่มแรกได้เปิดโรงเรียนเล็ก ๆ ใช้ชื่อโรงเรียนว่า "โรงเรียนอเมริกันสกูลฟอร์บอย (เอ เอ็ม ซี) ตั้งอยู่ที่ตำบล คลัง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช (ปัจจุบันคือ คริสตจักรเบธเลเฮ็ม) ในปี พ.ศ. 2452 โดยมีศาสนาจารย์อาร์ ดับดลิวโพสท์ เป็นครูใหญ่ ต่อมา มิสลาริยา เจ คูเปอร์ รับหน้าที่ต่อ ในปี พ.ศ. 2458 ได้มีการย้ายเด็กหญิงซึ่งแต่เดิมได้รับมาเรียนรวมกับเด็กชาย มาตั้งที่ ตำบล ปากพูน (ปัจจุบันคือตำบลท่าวัง ซึ่งเป็นที่ตั้งของแผนกอนุบาลในปัจจุบัน)โดยใช้ชื่อโรงเรียนว่า "โรงเรียนศึกษากุมารี" โดยมิสมิลเลอร์ เป็นครูใหญ่ และมิสเฮเลนแมกเคกก์ได้รับหน้าที่ต่อมา ในปี พ.ศ. 2461 - 2466 ศาสนาจารย์เอคเคิ้ลส์ และศาสนาจารย์เอฟ แอล สไนเตอร์ได้ผลัดเปลี่ยนกันจัดการดูแลโรงเรียนอเมริกัน หลังจากนั้นมิซซิส เฮเลน แมกเคกก์ ได้รับหน้าที่ต่อ จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2473 ครูพลอด ณ นคร ก็ได้รับหน้าที่เป็นครูใหญ่ ในปี พ.ศ. 2484 (ปีเดียวกับการยกพลขึ้นบกของกองทัพญี่ปุ่นสงครามมหาเอเชียบูรพา ที่หมู่บ้านท่าแพ จึงเป็นจุดสู้รบที่หนึ่งจนเกิดวีระบุรุษนักรบไทยปักษ์ใต้ พ่อจ่าดำตอนที่1 ตอนที่2)โรงเรียนอเมริกันก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนศรีธรรมราชวิทยา" ได้ย้าย นักเรียนมัธยมศึกษามาตั้งในสถานที่ใหม่ คือทีตำบลปากพูน (โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา แผนกประถมศึกษา - มัธยมศึกษา ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นที่ดินของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ประทานแก่มิชชันนารี ส่วนนักเรียนประถมศึกษายังอยู่ที่เดิมจนกระทั่งอาคารเรียนก่อสร้างเสร็จ จึงได้ย้ายนักเรียนประถมศึกษาไปอยู่ด้วยกัน ในปี พ.ศ. 2498 โรงเรียนศรีธรรมราชวิทยา ได้รับการรับรองวิทยฐานะจากกระทรวง ศึกษาธิการให้เทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาล ในปี พ.ศ. 2510 มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้รับมอบกิจการโรงเรียนทั้งสองต่อจากคณะมิชชั่นนารีได้พิจารณารวมโรงเรียนศึกษากุมารีกับโรงเรียนศรีธรรมราชวิทยาเป็น โรงเรียน " ศรีธรรมราศึกษา" จนกระทั่งปัจจุบันมาถึงวันนี้โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษาก็จะมีอายุครบ 110 ปี ทางโรงเรียนจึงได้จัดกิจกรรมงาน เดิน-วิ่ง รักสามัคคี 110 ปี AMC Family Fun Run ในวันที่ 1 สิงหาคม 2553 เวลา05.30 น. จุดสตาร์ทที่สะพานลอยหน้าโรงเรียน ตรงไปถึงน้ำพุสนามหน้าเมือง เข้าถนนยมราช ไปจนถึงวัดศรีทวีแล้วเลี้ยวออกถนนราขดำเนินกลับสู่โรงเรียนเป็นอันสิ้นสุดระยะทาง รวมแล้วประมาณ 3.5 กิโลเมตร ท่านพิชัย บุญยเกียรติ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และคุณสรวิช จันทร์แท่น นายกสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา เป็นผู้กล่าวรายงาน

ภาพกิจกรรม


วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วันอาสาฬหบูชา


อาสาฬหบูชาปีนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม 2553 ชาวนครและจังหวัดใกล้เคียง มักจะไปทำบุญไหว้พระและเวียนเทียนที่วัดใกล้เคียง ซึ่งทุกปีผมจะไปที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ซึ่งเมื่อก่อนเป็นวัดใกล้บ้าน ตอนนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใกล้วัดแล้วก็ตามครอบครัวก็ยังไปอยู่เสมอ อาจเป็นเพราะว่าเคยชินไปแล้วก็เป็นได้ วันนี้มีผู้คนมากหน้าหลายตา จาหหลายพื้นที่แต่ทุกคนก็มีจุดประสงค์เดียวกัน คือมาร่วมกันทำบุญ ถวายอาหารพระสงฆ์ และการแห่ผ้าขึ้นธาตุ ไม่บ่อยครั้งนักที่เจ้าหน้าที่จะเปิดโอกาสให้ผู้มีจิตศรัทธาได้นำผ้าขึ้นไปห่มองค์พระบรมธาตุ


ประวัติวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชั้นวรมหาวิหาร ตามตำนานกล่าวว่า พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาสู่หาดทรายแก้ว โดยนางเหมชาลา และพระธนกุมาร เมื่อประมาณปี พ.ศ.๘๓๔ จึงได้สร้างพระบรมธาตุ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ผู้ปกครองเมืองนครศรีธรรมราช จะก่อสร้างตกแต่งเพิ่มเติมอยู่เสมอ เพื่อสร้างสมความเลื่อมใสศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อองค์พระบรมธาตุเช่น สมัยศรีวิชัยได้สร้างเป็นเจดีย์ทรงศรีวิชัย ต่อมาในรัชสมัยพระเจ้าจันทรภาณุ เมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๗๙๐ ได้ทรงสร้างเป็นเจดีย์ทรงลังกาครอบองค์เจดีย์เดิมแบบศรีวิชัยไว้ภายใน
พระบรมธาตุเจดีย์ ประดิษฐานอยู่ภายในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นปูชนียสถานอันเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงสุดของชาวนครศรีธรรมราช และชาวใต้ทั้งปวง ไม่ปรากฎหลักฐานที่แน่นอนเกี่ยวกับประวัติการสร้างตามตำนานกล่าวว่า พระเจดีย์องค์เดิมสร้างตามความเชื่อของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๓๐๐ สมัยอาณาจักรตามพรลิงค์ ลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมแบบศรีวิชัย ต่อมาเมื่อได้มีการติดต่อสัมพันธ์กับพระภิกษุลังกา โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมราช ได้นิมนต์พระภิกษุลังกามาตั้งคณะสงฆ์ในเมืองนครศรีธรรมราชเป็นการสถาปนาพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ในระยะนั้นพระบรมธาตุองค์เดิมชำรุดทรุดโทรมมาก พระภิกษุลังกาจึงได้ช่วยกันบูรณะปฏิสังขรณ์ให้เป็นสถาปัตยกรรมแบบลังกา โดยสร้างพระสถูปแบบลังกาครอบองค์พระเจดีย์เดิม เป็นพระสถูปทรงโอคว่ำปากระฆังติดกับพื้นกำแพงแก้ว ที่มุมกำแพงแก้วมีพระบรมธาตุจำลองประดิษฐานอยู่ทั้งสี่มุม
(หาอ่าน วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร)

ฐานองค์พระเจดีย์เมื่อเดินเข้าไปจะเจอกับฆ้อง 2 วง วงแรกมีขนาดประมาณ 1 เมตร วงใหญ่ประมาณ1.5 เมตร ฆ้องทั้งสองมีสิ่งที่เหมือนกันก็คือจะมีคนมายืนใช้มือทั้งสองข้างลูบไปบนรอยนูนตรงกลางฆ้อง เพื่อให้เกิดเสียง จากการการสังเกตพบว่าเมื่อลูบไปบนโลหะที่ทำจากโลหะผสม ปลายนิ้วที่สัมผัสทำให้เกิดการสั่นสะเทือนเมื่อลูบหลายๆครั้งคลื่นสั่นสะเทือนก็จะมากขึ้นเรื่อยๆจะเกิดเป็นเสียงดังขึ้นเรื่อยๆจนถึงระดับหนึ่ง แต่ละคนให้เสียงที่ทุ้มแหลมไม่เท่ากัน เสียงที่เกิดขึ้นมีผลต่อจิตใจของแต่ละคนด้วยเช่นเดียวกันทำให้มีกำลังใจมากขึ้น ในขณะที่บางคนกลับลูบแล้วลูบอีกก็ไม่เกิดเสียง ฆ้องวงใหญ่ผ่านการลูบมาด้วยจำนวนที่นับไม่ถ้วนโดยสังเกตได้จากบริเวณดังกล่าวบางจนทะลุไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังเกิดเสียงได้ม่ยากเย็นนัก ใครที่ผ่านไปมานครศรีธรรมราช กราบไหว้พระบรมธาตุเจดีย์กันแล้วก็เดินเข้าไปทางประตูฐานเจดีย์ เลี้ยวตรงมุมฐานเจดีย์ก็จะเห็นฆ้องขนาดใหญ่ 2 วง แล้วจะพบว่าท่านมีพลังในตัวมากน้อยเพียงใด

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ขนมสายไหม



วันเกษตรแห่งชาติประจำปี2553 ณ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ระหว่าง 16-24 กรกฏาคม 2553 จัดงานอยู่หลายวันเหมือนกันนะ ครั้งแรกไปดูการแข่งขันดนตรีไทยของน้องเมย์(ลูกสาวคนเล็ก) ซึ่งเลิกเอามืดค่ำก็ต้องรีบกลับ มีโอกาสได้ไปอีกครั้งเอาวันสุดท้ายของงานเพราะต้องรอให้พี่จูน(ลูกสาวคนโต)กลับมาแล้วจะได้ไปเที่ยวพร้อมๆกัน ชื่องานก็บอกอยู่แล้วว่าเกษตร ดังนั้นก็ควรจะเกี่ยวกับต้นไม้เป็นหลัก ขายต้นไม้นานาชนิดทั้งนำไปปลูกประดับบ้าน และปลูกในสวนผลไม้ หน่วยงานราชการก็ให้ความสำคัญมากทีเดียว ...พูดมาซะยาวเลย..ในงานมีร้านเล็กๆที่น่าสนใจก็คือ ร้านขนมสายไหม หลายคน(ที่อายุมาก)อาจจะนึกไปถึงตอนที่ยังเป็นเด็กๆ เห็นร้านแบบนี้ทีไรก็วิ่งเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้มทันที ...ไม้นึง สีชมพู... ถูกสั่งออกไปโอยอัตโนมัติโดยที่ตัวยังไม่ถึงร้าน พ่อค้าก็นำเอาเกล็ดน้ำตาลสีชมพูเทลงไปในหม้อต้มเล็กๆกลางวง(คล้ายๆกะละมัง)ที่กำลังหมุนด้วยความเร็วสูง ทันทีก็มีปุยขาวๆคล้ายปุยเมฆกระจายออกมาสวยงาม พ่อค้าเอาไม้(ทำจากกระดาษมาม้วนเป็นก้านเล็กๆ)ไปเกี่ยวปุยน้ำตาลจนเป็นก้อนโต ส่งให้ลูกค้าตัวน้อยๆ สมัยนั้นก็ตกไม้ละไม่กี่สตางค์ เดี่ยวนี้ตกไม้ละ 10 บาท

เครื่องทำสายไหมนี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2447 ในงานมหกรรมซื้อขายของอเมริกาอ่านเพิ่มเติมจากวิกิพีเดีย ปัจจุบันมีให้เห็นตามงานมหกรรมต่างๆซึ่งอาจเป็นของพ่อค้านำมาเองหรือสั่งไปตามหน่วยบริการจัดตามงานเลี้ยง เขาก็จะส่งเครื่องมือพร้อมพนักงานมาบริการทันที ก็ประมาณ 4500-5000 บาท ลูกค้าเด็กๆและผู้ที่รำลึกความหลังจะชอบมาก จะอย่างไรก็ตามมันเป็นขนมน้ำตาลรับประทานเข้าไปก็แปรงฟันให้สะอาดด้วยเดี๋ยวฟันผุ (ปวดฟันทรมาณมากกกก)



วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เอา-เข้า-ไว้





เอา-เข้า-ไว้


เมื่อคืนได้มีโอกาสไปร่วมพิธีงานมงคลสมรส เจ้าสาวเป็นลูกครูส่วนเจ้าบ่าวเป็นลูกของนายช่างชลประทานดูเหมาะสมน่ารักทั้งคู่ จัดเลี้ยงที่โรงแรมทวินโลตัส บรรยากาศเป็นไปด้วยความเป็นกันเองสนุกสนาน คู่บ่าวสาวอยู่ในชุดสีครีมสะอาดตา แต่พิธีกรนี่ซิมาในชุดสีแดงแปร๊ดเด่นบนเวทีเลยทีเดียวเล่นเอาแขกเหรื่อในงานฮือฮาพอสมควร พูดผิดบ้างถูกบ้างก็โอเคนะ ไม่ว่ากัน เมื่อถึงคราวประธานในพิธี ก็คือผู้บริหารโรงเรียนศรีธรรมราชศึกษาซึ่งเป็นเจ้านายของแม่เจ้าสาว ท่านได้ยกข้อความมาให้เป็นข้อคิดและเป็นแนวในการครองคู่กับคู่บ่าวสาวด้วยคำว่า "เอา เข้า ไว้" เป็นที่ชอบอกชอบใจของแขก แต่เจ้าสาวทำหน้าแปลกๆอดสงสัยไม่ได้ว่าจะเป็นมุขอะไรหรือเปล่า ในที่สุดท่านก็เฉลยว่า คำว่าเอาเข้าไว้ จริงๆแล้วมาจาก
เอา---หมายถึง เอาใจใส่ ดูแลซึ่งกันและกัน รวมถึงครอบครัวเขาด้วย ด้วยการเอาใจเขามาใส่ใจเรา
เข้า---หมายถึง ให้มีความเข้าอกเข้าใจกัน ทั้งเรื่องส่วนตัว และงานในหน้าที่ที่ต้องทำว่ามีความแตกต่างกัน
ไว้---หมายถึง ความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน บางครั้งด้วยภาระหน้าที่อาจทำให้ต้องห่างกันไปบ้างแต่ก็ต้องมีความเชื่อมั่นต่อกัน



เฮ้อ..โล่งอกไป ก็นับว่าเป็นคำแนะนำที่ดี หากปฏิบัติได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตในครอบครัวใหม่เป็นอย่างมาก ขอให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวรักกันนานๆ ไชโย ไชโย ไชโย

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

รุ้งกินน้ำ







วันนั้น(05/07/2553 นครศรีธรรมราช)ขับรถอยู่บังเอิญหันไปเจอกับรุ้งกินน้ำ แต่วันนี้ไม่เหมือนกับทุกครั้งที่เห็น คือจะมีสองชั้น ตัดสินใจหาที่เหมาะๆถ่ายภาพซะหน่อย นานๆได้เจอสักครั้ง ขณะที่กำลังถ่ายภาพจะมีชาวบ้านออกมาดู และสงสัยว่าถ่ายภาพอะไร ซึ่งชาวบ้านเหล่านั้นก็ไม่ค่อยได้เจอบ่อยนัก ก็คิดกันไปต่างๆนานาว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นหรือเปล่า จะดีหรือจะร้าย จริงๆแล้วรุ้งกินน้ำมีโอกาสเกิดลักษณะนี้อยู่ประจำขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ตรงจุดใดที่จะสังเกตุเห็น สีก็จะไล่เรียงกันไป ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด(ส้ม) แดง มีอยู่แล้วในธรรมชาติของแสงสีขาว เมื่อแสงสีขาวส่องผ่านหยดน้ำเล็กๆในอากาศก็เกิดการหักเหออกมา ซึ่งแต่ละสีมีความยาวคลื่นแตกต่างกัน(วิทยาศาสตร์ไปรึเปล่า)ก็จะกระจายกันไป ไปพอดีกับเราที่อยู่ที่พื้นดินในมุมที่ไม่สูงมากนักทำให้เห็นเป็นแถบสี วันนี้เราได้เห็ 2 แถบ เรียกว่ารุ้งปฐมภูมิ กับรุ้งทุติยภูมิ



หาอ่านเพิ่มเติมนะครับ







อีกภาพก็เป็นลักษณะเดียวกับรุ้งกินน้ำ สังเกตรุ้งจางๆที่เกิดทางขวาของภาพ หากเป็นที่โล่งและอากาศดีๆก็จะเห็นอีกแถบปรากฎทางซ้ายของภาพ (วันนั้นมองไม่เห็น อากาศไม่ดีก็เลยถ่ายมาแค่นี้) หากรุ้งสว่างมากๆบางคนจะมองเห็นเป็นดวงอาทิตย์สองหรือสามดวงเลยทีเดียว(ภาพนี้ถ่ายไว้เมื่อ 15/17/2553 นครศรีธรรมราช)